ใจสูงต่ำ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพราะว่าเราจะมาประพฤติปฏิบัติ เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติใช่ไหม แนวทางไง แนวทางการประพฤติปฏิบัติ ถ้าแนวทางการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราศึกษามาขนาดไหนแล้วแต่นะ ศึกษามามันเป็นการคาดหมาย ถ้าเป็นการคาดหมายนะ มันเป็นความจริงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันไม่ได้เป็นความจริงของเราไง
แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมาแล้ว ท่านจะมีแนวทางของท่าน ท่านมีแนวทางนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมาแต่ละองค์ เห็นไหม ความถนัดของแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน ทีนี้ความถนัดแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน สิ่งที่จะถนัด ความถนัดขนาดไหน เวลาทำไปแล้วมันจะเข้าสู่อริยสัจ ถ้ามันเข้าสู่อริยสัจ เห็นไหม ถ้าสมาธิก็เป็นสมาธิ ถ้ามันเป็นปัญญาก็เป็นปัญญา แต่ถ้ามันเป็นปัญญาของเราๆ มันเป็นปัญญาโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาทางโลกไง
แต่มันเป็นปัญญาทางโลก เราศึกษาของเรา เราก็เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ เพราะจิตใจของเรามันไม่เคยพบเคยเห็นสิ่งความเป็นจริงไง จิตใจเราไม่เคยพบเห็นความเป็นจริงนั้น ความจริงนั้นเป็นอย่างไร เวลาเราคาดหมาย เห็นไหม เหมือนเด็ก เด็กเวลามีการศึกษา เห็นไหม ศึกษามาแต่ละวุฒิภาวะ ตามวัย เวลาแต่ละตามวัย สิ่งที่เขาศึกษามาเขาทึ่งไปตลอดเส้นทางการศึกษาของเขา นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เห็นไหม เริ่มต้นขึ้นมา ถ้าเราปฏิบัติของเรานะ ถ้าจิตมันแค่สงบระงับเข้ามา มันก็เห็นความเป็นจริง มันก็เห็นความมหัศจรรย์ในใจแล้ว แต่ความมหัศจรรย์ในใจนั้น เริ่มมันที่แก้ ปุถุชน กัลยาณปุถุชน
ปุถุชนและกัลยาณปุถุชน ปุถุชนคือคนหนา ปุถุชนคือเรานี่แหละ เวลาเราเกิดมา คนเกิดมา เห็นไหม ปุถุชนคนหนาทั้งนั้น เวลาเกิดมาก็มีอวิชชาไง เพราะมีความไม่รู้ถึงได้มาเกิด พอเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา พอเกิดในพุทธศาสนามีอำนาจวาสนาขึ้นมาถึงได้สนใจในพุทธศาสนา ดูสิ คนที่เขามีบ้านเรือนอยู่ข้างวัด ถ้าอยู่ข้างวัด เขาอยู่กับวัด คุ้นชินอยู่กับวัด เขาไม่สนใจเรื่องอย่างนั้นหรอก มันเป็นความคุ้นชินไง เห็นทุกวันๆ
นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธ เกิดในพุทธศาสนา เห็นพระทุกวัน เห็นพระทุกวัน เห็นการทำบุญตักบาตรกันทุกวัน แต่เราไม่ทำ แต่เราไม่ทำ เราไม่รู้ เห็นไหม ใกล้เกลือกินด่าง อยู่กับสิ่งนั้นแต่ไม่เข้าใจสิ่งนั้นเลย นี่ทัพพีในหม้อ เห็นไหม คนที่เขามาจากไหน เขาตักอาหารนั้นได้ไปทานของเขา เขาจะได้รสชาติอาหารนั้น แล้วทัพพีอยู่ในหม้อ อยู่กับหม้อ คนอยู่ทุกวัน ตักให้คนอื่นกิน ตัวเองไม่ได้กินสิ่งใดเลย เห็นไหม ถ้าตัวเองได้รับรส เพราะธรรมชาติของทัพพี ทัพพีมันไม่มีชีวิตไง แต่นี่มันเป็นบุคลาธิษฐาน มันเป็นสิ่งยกเป็นบุคลาธิษฐานเป็นตัวอย่างให้เห็นไง ว่าสิ่งที่จิตใจถ้ามันไม่เอามันเป็นแบบนั้น
แล้วจิตใจของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดเป็นมนุษย์เพราะอะไร เพราะมีปฏิสนธิจิต เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ ในกำเนิดถึงเป็นสิ่งที่มีชีวิต ถ้าสิ่งที่มีชีวิตเกิดขึ้นมาแล้ว เห็นไหม สิ่งที่มีชีวิตมันรับรู้ได้รู้สุขรู้ทุกข์ได้ รับความรู้ได้ แต่ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำไว้ไง เป็นเรื่องโลกๆ ไง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนานะ เราถึงได้มาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระนะ บวชเป็นพระแล้วบวชเป็นพระปฏิบัติเสียด้วย
ถ้าพระปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ นี่ข้อวัตรปฏิบัติของเราทุกวัน เราต้องให้มันแบบตื่นตัวตลอด การตื่นตัวตลอด อยู่กับครูบาอาจารย์ท่านให้ตื่นตัวตลอด การเหยียด การคู้ ความเป็นอยู่ของเรา ถ้ามีสติขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามีสติขึ้นมา แม้แต่การเหยียด การคู้ การเดินของเรา เรามีสติปัญญาของเราขึ้นมา มันเป็นการดูแลรักษาใจตลอดไง
ถ้าดูแลรักษาใจตลอดนะ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน สิ่งที่เกิดขึ้นกับหัวใจนั้น ถ้ามีสติมีปัญญารับรู้อย่างนี้ ถ้ารับรู้อย่างนี้ ถ้าจิตใจของคน ถ้ามันมีวุฒิภาวะนะ ใจคนที่สูง เห็นไหม เขาคิดแต่เรื่องดีๆ นะ สิ่งที่จิตใจที่สูงส่งเขาคิดแต่เรื่องดีๆ ทำแต่เรื่องดีๆ แล้วทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชีวิตเรา ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชีวิตเรานะ
คนที่จิตใจต่ำทราม เห็นไหม จิตใจที่ต่ำทราม ทำสิ่งใดทำด้วยความเห็นแก่ตัว ทำสิ่งใดก็เพื่อประโยชน์กับเขา เพื่อประโยชน์กับตัวเองๆ แล้วมันไม่ได้สิ่งใดเลยเพราะมันสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้น การกระทำของเราสร้างเวรสร้างกรรมเพราะ เพราะเราบวชมาเป็นพระ เวลาบวชมาเป็นพระ สังฆะ ความเป็นสงฆ์ ความเป็นสงฆ์ต้องอยู่ร่วมกัน เห็นไหม เป็นผู้ที่ไม่มีเหย้าไม่มีเรือน เป็นผู้ที่ไม่มีเรือน อยู่วัด อารามิก อยู่วัดอยู่วา เห็นไหม วัดนี่เป็นสมบัติในศาสนา สมบัติของชาวพุทธ เห็นไหม วัดวาอารามเป็นสมบัติของชาวพุทธ เราอยู่ในวัดมันก็มีข้อวัตรปฏิบัติ ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งที่การกระทำๆ นั่นน่ะ
ถ้าจิตใจที่สูงส่งทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์สาธารณะ ทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์กับสังคม เวลาเขาสร้างวัดสร้างวา เห็นไหม ผู้ที่อยู่ในวัดในวานั้น เขาขอให้อยู่ด้วยความสงบร่มเย็น ผู้ที่ยังไม่มาขอให้มาเถิด มาสู่วัดนี้ๆ วัดอารามิกเป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีล ถ้าผู้ทรงศีล เห็นไหม จิตใจที่มันสูงส่งมันเป็นประโยชน์อย่างนั้น จิตใจที่สูงส่ง เห็นไหม เวลาทางโลกก็เหมือนกัน จิตใจของคนที่สูงส่ง จิตใจที่มีคุณธรรม เขาทำสิ่งใดเพื่อเป็นประโยชน์ทั้งนั้น เขาคิดแต่เรื่องดีๆ ไง จิตใจที่สูงส่งคิดแต่เรื่องดีๆ คิดแต่เรื่องเป็นประโยชน์
จิตใจที่ต่ำทราม จิตใจที่ต่ำทรามคิดแต่เรื่องของตนเอง คิดแต่เรื่องความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวแล้วมันก็อยู่ไม่ได้หรอก เห็นไหม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะ แบ่งหน้าที่กันทำ ทำหน้าที่การงานของตน แล้วมาแลกเปลี่ยนกัน คนคนเดียวทำสิ่งใดทุกๆ อย่างไม่ประสบความสำเร็จ ประสบความเป็นอยู่ยากลำบาก เห็นไหม เขาถึงแบ่งหน้าที่กันทำงาน นี้สังคมต้องอยู่ร่วมกัน เห็นไหม นั่นพูดถึงสังคม ถ้าจิตใจที่สูงส่ง สังคมมันก็เป็นที่ดีงาม
ถ้ามาบวชเป็นพระ มาบวชเป็นพระนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพระอานนท์ เห็นไหม ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิดๆ การปฏิบัตินี่สำคัญมาก เพราะการปฏิบัตินี่เป็นการขัดเกลากิเลส เป็นการกำจัดกิเลสในหัวใจของสัตว์โลก กำจัดกิเลสในหัวใจของสัตว์โลกนี่เป็นความปรารถนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตตะผู้ข้อง ความขุ่นข้องหมองใจในใจ เนี่ยรื้อสัตว์ขนสัตว์ที่นี่ หัวใจนี่ หัวใจของสัตว์โลก
มนุษย์เกิดมา เห็นไหม ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ประเสริฐเพราะอะไร ประเสริฐเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไง แล้วอย่างพวกเรา เห็นไหม เราเกิดมาในวัฏฏะ เกิดมาในภพในชาติ เกิดมาด้วยอำนาจวาสนานะ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์หรอก เราดูฟาร์มสัตว์เลี้ยง ฟาร์มไก่ ๔๕ วันเท่านั้นเชือดหมด แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดเป็นแมลง ๗ วัน แล้วมนุษย์ไม่เกิดเหรอ เพราะว่าพระโพธิสัตว์ไม่เกิดต่ำกว่านกกระจาบ พระโพธิสัตว์ๆ เห็นไหม เวลาในพระไตรปิฎกภิกษุไปได้ผ้าเก่ามา ได้มารื้อออกมาทอใหม่ ทอใหม่แล้วมาเย็บ เห็นไหม ด้วยความผูกพัน เพราะผ้ามันประณีต เราจะได้เปลี่ยนผ้าใหม่ คืนนั้นเป็นโรคประจำตัว โรคท้องร่วง เสียชีวิตในคืนนั้นไปเกิดเป็นเล็น ไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในผ้าจีวรนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนมาท้วงไว้เอง เพราะตามวินัยถ้าเป็นของของสงฆ์ เกิดในท่ามกลางสงฆ์นั้น เวลาถ้าเป็นผู้อุปัฏฐากเขาจะได้บริขาร ๘ บริขาร ๘ ได้เป็นสิทธิ์ของภิกษุผู้อุปัฏฐาก แต่ถ้าไม่มีผู้อุปัฏฐากนั่นตกเป็นของของสงฆ์ สงฆ์ให้แจกกัน ถ้าแจกแล้วๆ เห็นไหม มันเป็นการยืนยันไง เป็นการยืนยันว่าการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พระไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในผ้านั้น เพราะว่าด้วยความผูกพันว่าพรุ่งนี้เราจะได้เปลี่ยนผ้าใหม่ คืนนั้นตายซะ ความผูกพันกับผ้านั้น ด้วยความผูกพันในผ้านั้นไปเกิดเป็นเล็นในผ้านั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งพระเลย อย่าเพิ่งแจกนะ ผ้านี้อย่าเพิ่งแจก ภิกษุนั้นตายแล้วมาเป็นเล็นอยู่ที่นี่ วางไว้อย่างนั้น พอ ๗ วัน เล็นมีอายุแค่ ๗ วัน ๗ วันมันตายไป พอมันตายไปท่านก็ให้เอาผ้านั้นมาแจกในท่ามกลางสงฆ์ จะเกิดหรือไม่เกิดล่ะ จะมีหรือไม่มีล่ะ จะมีหรือไม่มีในความเห็นของเราไง นี่ไง เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
ถ้าเราเกิดอย่างนั้น เห็นไหม เราเกิดเป็นสัตว์ เราเกิดอย่างนั้นมันเกิดในวัฏฏะ แต่ปัจจุบันนี้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วเกิดมาพบพุทธศาสนาด้วย เราเกิดในพุทธศาสนา แล้วมาบวชเป็นพระด้วย การบวชเป็นพระแสนลำบากลำบนนะ การบวชเป็นพระนี่ เพราะอะไร เพราะดูสิ ทางโลกมองมาที่พระ เห็นไหม พระปฏิบัติ พระฉันมื้อเดียว ทำสิ่งใดผิดอาบัติไปหมด ศีล ๒๒๗ แล้วถ้าศีลในวินัย ๒๑,๐๐๐ มีอย่างนั้น แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติ สิ่งใดทำขาดตกบกพร่องเป็นเวรเป็นกรรมทั้งนั้น ฉะนั้น คนเขาถึงไม่กล้ามาบวชไง
ถ้าอยู่เป็นฆราวาส อยู่ในฆราวาสก็ประพฤติปฏิบัติในแนวทางของฆราวาส เพราะฆราวาสประพฤติปฏิบัติเข้าไปก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฉะนั้น เขาก็อยู่ในฆราวาสของเขา แล้วกิเลสด้วย กิเลสก็เนี่ยๆ อยู่ในฆราวาสของเขา เขาก็อยู่ในฆราวาสธรรม เวลามาบวชเป็นพระๆ ละล้าละลังไม่กล้ามาบวช เห็นไหม ถ้าเป็นความเป็นจริงเป็นจังจะมาบวชแล้ว
ถ้าจะมาบวช เรามีสติมีปัญญามากน้อยแค่ไหน ถ้าเรามาบวชเป็นพระ เห็นไหม เรามาบวชเป็นพระ เรามาประกาศตนแล้วว่าเราเป็นภิกษุ อุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ ยกเข้าหมู่ ศีล ๒๒๗ ถ้าศีล ๒๒๗ มันเป็นศีลอยู่แล้ว ถ้ามันเป็นศีลอยู่แล้ว ที่ว่าคำว่ามีอำนาจวาสนาๆ นะ วาสนาอย่างนี้ ถ้ามีอำนาจวาสนา คนมองว่าสิ่งใดมันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ไง ถ้ามันเป็นประโยชน์โลก โลกเป็นประโยชน์ของเขา ประโยชน์โลกก็ประโยชน์ในครอบครัว ประโยชน์ในชาติปัจจุบันนี้
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงผลของวัฏฏะเลย คนนี่เกิดมาจากไหน บุพเพนิวาสนุสสติญาณย้อนอดีตชาติไปไม่มีสิ้นสุด เวลาจุตูปปาตญาณ เห็นไหม คนเราถ้ามาประพฤติปฏิบัติยังไม่ถึงที่สิ้นสุดแห่งทุกข์มันยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันมีเวรมีกรรมของมันไปแน่นอน อาสวักขยญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา เห็นไหม คนที่เห็นคุณงามความดี คนที่เห็นคุณธรรม คนที่เห็นๆ ไง เราเลยเสียสละ มันเป็นทางเลือก
จิตใจที่สูงส่ง คิดให้สูงส่งนะ เราเกิดมาทำไม เราเกิดมาประกอบสัมมาอาชีวะ เกิดมามีครอบครัว เกิดมาแล้วครอบครัวของเราประสบความสำเร็จ เสร็จแล้วจบลงอย่างไร เห็นไหม ไม้ใกล้ฝั่งๆ คนเฒ่าคนแก่เขาไปวัด ประเพณีของชาวพุทธไง พอแก่เฒ่าชราภาพขึ้นมาก็ไปวัดไปวา ไปวัดไปวาเพื่อเตรียมตัวจะตายไง ไปประพฤติปฏิบัติธรรม เป็นทรัพย์สมบัติของใจดวงนี้ ให้ใจดวงนี้มีทรัพย์สมบัติไป ไม่ใช่ไปแบบเร่ร่อน ไม่ใช่ไปแบบคนอนาถา
เวลาคนอนาถา สมัยโบราณนะ สมัยก่อนเวลาคนป่วย เห็นไหม ไม่มีทรัพย์ เป็นคนไข้อนาถา เขาดูแลตามความเป็นอนาถา ถ้าใครมีทรัพย์ขึ้นมาเขาเป็นคนไข้พิเศษ อยู่ห้องพิเศษ พิเศษหมด นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นอนาถา เราไม่มีสิ่งใดเป็นทรัพย์สมบัติของเราเลย นี่เป็นชาวพุทธๆ วัฒนธรรมของชาวพุทธเราไปวัดไปวา ไปจำศีล ไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่อเป็นสมบัติของเราไง เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะจะได้ไม่เป็นคนอนาถา ไม่เป็นคนอนาถา มันมีบุญกุศลเป็นที่พึ่งไง
นี่พูดถึงว่าจิตใจคนที่สูงส่งขึ้นมามันพัฒนาการขึ้นมา ไม่เหมือนทางโลก ทางโลกเขาจะหาแต่สมบัติของตนๆ เป็นคุณภาพชีวิต ประกันความมั่นคงในชีวิต ความมั่นคงในชีวิตนะมันเป็นการใช้สอย มันเป็นความประหยัดมัธยัสถ์ ถ้าคนมีความประหยัดมัธยัสถ์นะ สิ่งใดมันใช้แล้วเขาภูมิใจของเขา คนที่ประหยัดมัธยัสถ์เขาใช้สิ่งใดเขาพอของเขา ไอ้คนฟุ่มเฟือยมันจะเอาทั้งโลกมามันก็ไม่พอหรอก แล้วมันใช้แค่ไหน
คนเรามีปากท้องเหมือนกัน เราเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรมนะ ญาติกันโดยธรรมมันมีปากมีท้อง ถ้ามีปากมีท้องแล้วเราหาปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ อย่างเช่น พระ เห็นไหม พระเราฉันมื้อเดียว ฉันมื้อเดียวคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราเห็นคุณธรรมในใจ เราเห็นสิ่งนี้เป็นประโยชน์ ถ้าความเป็นอยู่ของเรา ฉันมื้อเดียว แต่ฉันแล้วเวลาไปนั่งสมาธิภาวนามันยังสัปหงกโงกง่วง ความสัปหงกโงกง่วง การอดนอนผ่อนอาหารเพื่อไม่ให้ธาตุขันธ์มันมีพลังงานเกินไปให้มันทับหัวใจ พอมันไม่ทับหัวใจ เห็นไหม เวลาภาวนาขึ้นมามันจะเห็นแนวทางแล้ว
คนที่ปฏิบัติขึ้นมา ไอ้เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นของเล็กน้อยมาก แล้วถ้าเป็นของเล็กน้อยนะ มันเป็นเครื่องอาศัยๆๆ ให้เราดำรงชีพเท่านั้นน่ะ ดูสิ ในทางโลก เห็นไหม สิ่งนั้นมันขาดตกบกพร่องสิ่งใด อดจนตาย แต่นี่มันไม่ใช่ จะฆ่ากิเลสให้ตาย เราไม่ใช่อดจนตาย จะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่มันเป็นวิธีการฆ่ากิเลสไง เป็นคำว่าวิธีการๆ เทคนิค เทคนิคที่จะเอาชนะตนเอง เทคนิคที่จะค้นหาใจของตน แล้วเป็นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ให้ เห็นไหม เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็ต้องหายาเพื่อรักษา
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะไปไหนเราก็ต้องมีอุปกรณ์ มีเครื่องอำนวยความสะดวก นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เราจะปฏิบัติ เราทำหัวใจให้สงบ เราก็ทำให้สงบ ทำอยู่อย่างนั้น ทำก็ทำไม่ได้ ยิ่งทำไม่ได้ เห็นไหม ทำสิ่งใดเกิดแต่อุปสรรค ทำสิ่งใดมีแต่การขัดแย้ง พอความขัดแย้ง ทำไปๆ แล้วมันแหยง ทำไปแล้วไม่ได้ผล
แต่ถ้าคนมีปัญญา มีปัญญา เห็นไหม ตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมา นี่วันนี้เราทำอะไรบ้าง สิ่งใดที่กระทบกระเทือนในหัวใจมันมีอะไรบ้าง มันรักษาอย่างนั้น แล้วเขาจะหลีกเร้นของเขา เขาจะหาความสงบของเขา แล้วเวลามาภาวนาขึ้นมามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเราแล้ว หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันจะลงได้หรือไม่ได้ ถ้ามันลงไม่ได้เพราะอะไร ทำไมปัญญาของเรามันเลินเล่ออย่างนี้ ทำไมปัญญาของเรามันไม่มีการคัดแยกอย่างนั้น เป็นเพราะอะไร เพราะมันดื้อด้าน
พอมันดื้อด้านขึ้นมา เห็นไหม หลวงตาเวลาท่านอดอาหารนะ เวลากิเลสกับธรรมมันเถียงกันในใจ ถ้าคนไม่กินมันก็ตาย แต่ถ้ามันกินแล้วนะมันก็อืดอาด กินแล้วมาภาวนามันภาวนาแล้วมันก็ไม่ได้ดั่งใจ มันละล้าละลังๆ นะ โดยธรรมชาติคนมันต้องมีอาหาร ไม่มีอาหารมันก็ตายไง เราต้องรักษาชีวิตเราไว้ เราเป็นคนนะ มีปัญญานะ บวชเป็นพระนะ บวชเป็นพระ พระที่มีสติปัญญา เราจะโต้แย้งกับข้อเท็จจริงใช่ไหม มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เราไม่ได้โต้แย้งข้อเท็จจริง จะเอาความจริงเหนือจริง จะเอาความจริงที่จริงกว่านี้ ถ้าเอาความจริงที่จริงกว่านี้ นี่มันจริงแบบโลกไง
คนเราเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะการดำรงชีวิต การดำรงชีวิตอย่างไร เสเพลอย่างไร มันก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บอย่างนั้น คนที่ดำรงชีวิตรักษาสุขภาพของเขาดี สุขภาพของเขา เขาไม่เสียหาย จิตก็เหมือนกัน เห็นไหม เวลาเราจะภาวนาขึ้นมา เราจะภาวนาขึ้นมา ด้วยกิเลส เห็นไหม นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ มันจะเอาแต่ความสะดวกสบายทั้งนั้นเลย แล้วเอาความสะดวกสบาย เห็นไหม การดำรงชีวิตดำรงชีวิตเสเพลอย่างไร มันก็จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บอย่างนั้น
นี่ก็เหมือนกัน จิตของเรา เราทำอย่างไร แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เรารักษาของเรา เห็นไหม คนที่มีจิตใจสูงส่ง คนที่จิตใจที่มีวุฒิภาวะ มันเห็นโทษ มันเห็นโทษในความเป็นอยู่ มันเห็นโทษในการกระทำอันนั้น ถ้ามันเห็นโทษในการกระทำอันนั้น เราหลีกเร้น เห็นไหม เราหลีกเร้น เราหลบหลีกของเรา เราหลบหลีกของเรา หลบหลีกๆ แล้วได้อะไร เขาว่าเวลาปฏิบัติเขาอุเบกขาๆ อุเบกขาก็วางเฉยไง อุเบกขามันต้องใช้สติปัญญาพอสมควรมันถึงจะวางเฉยของมันได้
นี่ก็เหมือนกัน หลบหลีกๆ แล้วทำไม หลบหลีกแล้วก็ไปจมอยู่อย่างนั้นเหรอ หลบหลีกแล้วมันต้องมีสติมีปัญญา มันต้องมีการกระทำไง มันต้องมีการกระทำ เห็นไหม ดูสิ โดยธรรมชาติเวลาน้ำขุ่น เห็นไหม น้ำที่มันเจือปนด้วยสารพิษ ถ้าวางไว้ต่างๆ ด้วยตะกอนมันจะตกลงอยู่ก้นภาชนะนั้น น้ำจะใสขึ้นมา นี่โดยธรรมชาติของมัน แล้วจิตใจล่ะ จิตใจ เห็นไหม เวลาศึกษาธรรมะ โอ้โฮ สบายๆ สบายๆ น่ะกิเลส มันเป็นตะกอนอยู่ก้นบึ้งในใจนั่นน่ะ มีอะไรไปสะกิดแล้วมันฟูทันทีเลย มันฟูทันทีเลย เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราใช้สติใช้คำบริกรรมนะ พุทธานุสสติ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราพยายามจะทำให้น้ำนั้นใส พอน้ำนั้นใสนะ พอน้ำใสน้ำนั้นจะเป็นประโยชน์ขึ้นมาได้บ้าง นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบระงับขึ้นมา เห็นไหม แค่จิตสงบระงับขึ้นมามันก็มีความสุขแล้ว ความสุขไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีนะ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่ว่า เขาว่าจิตเขาเป็นสมาธิ จิตเขาที่ว่าว่างๆ ว่างๆ นั่นน่ะ อันนั้นเขาไม่มีรสชาติไง มันเหมือนกับตำราทางทฤษฎีเราศึกษามาเราก็เข้าใจได้ เราคาดหมายได้
แต่ถ้ามันเป็นตัวมันเอง เพราะตัวมันเอง เห็นไหม พอจิตสงบแล้วต้องมีกำลัง ความมีกำลังรสชาติของมันสะเทือนหัวใจ ถ้ามันสะเทือนหัวใจ เวลาคนที่จิตสงบแล้วส่วนใหญ่จะมาถามเลย นั่นมันคืออะไร นั่นมันไปเห็นแล้วนะ มันไปสัมผัสแล้วนะ มันยังไม่รู้ว่านั่นคืออะไรเลย นั่นคืออะไร เพราะมันข้อเท็จจริงไง
แต่ถ้ามันเป็นความคิดของเรา เห็นไหม ใสๆ ทำไมมันใสๆ อย่างนั้น ใสๆ อย่างนั้น จิตมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงของมัน มันถึงเห็นอาการอย่างนั้นได้ ถ้าเห็นอาการอย่างนั้นได้นะ การรักษาอย่างไร ไอ้ใสๆ ไปเห็นว่าใสๆ แต่ทำไมมันถึงใสๆ ล่ะ ใสๆ เพราะจิตมันเป็นอิสระ จิตมันไม่โดนกิเลสครอบงำ จิตมันไม่โดนอารมณ์ อารมณ์มันเสวยอารมณ์ มันเป็นอารมณ์ จิตไม่เสวย กำมือมันได้กำสิ่งใดมันก็รับรู้สิ่งนั้น นี่ก็เหมือนกัน เราทำจนมือมันปล่อยวางหมด ปล่อยวางหมด เรากำสิ่งใดอยู่เรารู้นี่ มันมีความรู้สึก เราปล่อยหมดมันก็ต้องมีความรู้สิ มันว่าง มันปล่อยวาง แล้วมีสติสัมปชัญญะ มีสติสัมปชัญญะ เห็นไหม เนี่ยสัมมาสมาธิ
เพราะมือมันว่าง มันจะจับต้องสิ่งใดก็ได้ ถ้ามือมันไม่ว่าง มันจะไปหยิบอะไร เพราะมือมันกำกิเลสอยู่ มือมันกำอารมณ์อยู่ เสวยอารมณ์ๆ อารมณ์ไม่ใช่จิต มันเกิดจากจิต เพราะจิตมันเสวยอารมณ์มันถึงเป็นอารมณ์นั้น พุทโธก็เป็นอารมณ์ๆ หนึ่ง พุทธานุสสติ แต่พุทธานุสสติเพื่อให้จิตว่าง ให้มือมันว่าง พอมือมันว่างขึ้นมา เห็นไหม มันมีสติปัญญา มันพยายามน้อมไป ให้เห็นกาย ให้เห็นเวทนา ให้เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง ถ้าตามความเป็นจริง ถ้ามันไปจับ เห็นไหม มือมันว่าง พอมันจับสิ่งใด พอจับแล้วเต็มไม้เต็มมือ จับแล้วมันพิจารณาของมันได้ ถ้ามันได้ เห็นไหม ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามีการกระทำเป็นชั้นเป็นตอน เห็นไหม จิตใจของคนที่มันต่ำต้อย มันต่ำต้อยมันเห็นแก่ตัว ทำสิ่งใด เห็นไหม นี่เวลามันเกิดตรรกะ เกิดความคิด เกิดจินตนาการขึ้นมา เป็นธรรมๆๆ จิตใจที่วุฒิภาวะมันอ่อนด้อย
ถ้าจิตใจที่มันมีคุณธรรมนะ เห็นสิ่งใดแล้วรู้สิ่งใดแล้วพิจารณา มันจริงหรือไม่จริง ถ้ามันจริง มันจริงทำไมมันไม่อยู่กับเรา มันจริงทำไมมันไม่เข้าใจ ถ้ามันไม่เข้าใจแสดงว่ามันไม่จริง ถ้ามันไม่จริง ไม่จริงทำอย่างไร ไม่จริงก็ต้องพิจารณาอีกสิ ไม่จริงมันก็ต้องพิจารณาให้มันแยกแยะ พิจารณาให้มันชัดเจนว่ามันจริงเพราะอะไร มันไม่จริงเพราะอะไร ถ้ามันเห็นโทษของมันนะ เห็นความผิดพลาดของตน นั่นแหละมันวิธีการแก้ไข
แต่ถ้ามันไม่เห็นความผิดของตน มันไม่เห็นว่าทำแล้วทำเล่าๆ ทำแล้วมันอยู่กับที่นั่นไง ทำแล้วทำเล่าถ้าไม่ใช่เป็นความจริง เห็นไหม ก็พิจารณาซ้ำเข้าไปสิ ถ้าพิจารณาซ้ำเข้าไป พอมันเห็นว่าอันนี้ไม่ใช่ ไม่ใช่มันวางขึ้นไป มันจะเหลืออะไร มันเหลือสิ่งที่วางแล้ว ตัวมันเป็นอิสระ มือที่วางแล้วมันว่าง มือที่วางมันจะจับสิ่งใด มันจะพิจารณาสิ่งใด มันทำของมันได้ ถ้ามันทำของมันได้มันก็พัฒนาของมันไปอีกขั้นหนึ่ง มันก็จับต้องไปอีกชั้นหนึ่ง ถ้าอีกชั้นหนึ่งมันทำแล้วทำเล่า การพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า การพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือการพยายามหาความบกพร่องของการกระทำของเราเอง
เวลาถามครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านตอบได้หมด แล้วท่านตอบได้แล้วนะ ตอบได้ เหมือนคนคอยแนะนำ แนะนำแล้วไอ้คนที่ฟังมันไม่เชื่อ หรือถ้ามันเชื่อ มันก็เชื่อโดยที่มันความเข้าใจภายนอก มันไม่ใช่ความเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นกลางขึ้นกลางหัวใจ
แต่ในการพิจารณาแยกแยะของเรา เห็นไหม พิจารณาซ้ำ พิจารณาแยกแยะของเรา นี่คือการทำซ้ำ การทำซ้ำคือให้จิตมันพิจารณาของมันซ้ำ ถ้าซ้ำ ถ้ามันพิจารณาซ้ำทำบ่อยครั้งเข้า มันเห็นความบกพร่องของตน มันเห็นการกระทำที่ผิด ผิดเพราะอะไร สมาธิเบาบางไปบ้าง จะบอกว่าสมาธิเข้มข้นเกินไป น้อยองค์ที่จะเป็น แต่เป็น สมาธิเข้มข้นเกินไปมันใส ใสจนพิจารณามันไม่เป็นไปตามที่ปรารถนา ถ้าสมาธิมันมีกำลังเกินไปมันก็ไม่มัชฌิมาปฏิปทา ไม่สมดุล ไม่พอดี เวลาอ่อนเกินไป ส่วนใหญ่มันจะอ่อนเกินไป
เหมือนนักกีฬา เหมือนเราทำงาน เราทำงานแต่สุขภาพเราไม่ดี แต่เราก็โหมทำงาน สุขภาพเราไม่ดี แต่ทำงานไปแล้วงานเป็นยังไง เละ จิตใจของคนที่ไม่มีกำลังทำๆ ไปแล้วมีแต่ความเสียหาย ความเสียหายคืออะไร คือมีความผิดพลาด ความผิดพลาดมันมีแต่ความสงสัย ทำไปแล้วมันทำให้งานไม่ชัดเจนขึ้นมา แล้วมันจะชัดเจนขึ้นมาต้องทำอย่างไร ชัดเจนขึ้นมาวางหมดเลย กลับมาพุทโธ กลับมาพุทโธ กลับมาบริหารจิตใจให้แข็งแรงขึ้นมา ถ้ามันกลับมาที่ความสงบ พอมันสงบแล้วมันสดชื่น พอมันได้พักแล้วมันสดชื่นแจ่มใส พอมันสดชื่น ทำอะไรมันก็เป็นประโยชน์ขึ้นมา แต่ถ้ามันไม่สดชื่น เห็นไหม มันทำสิ่งใดแล้วนี่ คนที่ไม่มีกำลัง พอทำสิ่งใดแล้วก็ทำอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะอะไร
จิตมันไม่เคยตายไง ทำแล้วทำเล่า จากที่มันเป็นปัญญา ปัญญาคือการรอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาในพุทธศาสนานะ ปัญญาคือรอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือความคิดความปรุงความแต่ง สิ่งที่ความคิดความรู้สึกเรานี่สังขาร สังขารในขันธ์ ๕ ไม่ใช่สังขารร่างกาย แล้วถ้ามีปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญารอบรู้ในความคิด ในการกระทำเราทั้งหมดเลย นี่ปัญญารอบรู้ ถ้ารอบรู้แล้วมันจะไปสงสัยอะไร
ถ้ารอบรู้ เห็นไหม เราพิจารณาของเรา แล้วเราวางของเรา แล้ววางของเรานะ ถ้ามันจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรม ได้ตามความเป็นจริง ถ้าจับได้ตามความเป็นจริง มันจับได้ พอจับได้มันอยากทำงาน เวลาฝึกหัดใช้ปัญญาๆ แล้ว ปัญญาที่มันออกก้าวเดินแล้ว พอถ้ามาบังคับให้มันสู่ความสงบ เวลามันออกจากความสงบแล้วมันพุ่งเข้างานเลย มันพิจารณาซ้ำทันทีเลย พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า นี่มรรค เวลามรรคมันหมุน เห็นไหม เวลาปัญญามันหมุนๆ เวลาปัญญาที่มันยังไม่เกิดขึ้นมาเลย ปัญญามันเกิดขึ้นมาเองไม่ได้
มีอยู่มาก บอกว่าทำความสงบของใจ เวลาจิตสงบเป็นสมาธิแล้วปัญญามันจะเกิดเอง ถ้าปัญญามันจะเกิดเอง ฤๅษีชีไพรในสมัยพุทธกาลมันเป็นพระอรหันต์กันไปหมดแล้ว เพราะฤๅษีชีไพรเขาก็ทำฌานสมาบัติได้ มันเกิดมาเองไม่ได้เพราะมันเป็นโลกุตรธรรม มันเป็นโลกุตรปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งโลก ปัญญาที่จะถอดถอน
ไอ้ปัญญาของเรานี่มันสัญญาทั้งนั้น สิ่งที่เป็นสัญญานะ เราฝึกหัดใช้ปัญญาถ้าเราทำความสงบใจของเราได้ เห็นไหม เวลาจิตสงบแล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา นั่นน่ะเป็นปัญญา หลวงตาใช้คำว่าวิปัสสนาอ่อนๆ การฝึกหัดของเรามันเป็นวิปัสสนาอ่อนๆ เพราะอะไร เพราะมันมีจิต มันมีจิต มันคิดขึ้นมาจากจิตไง เพราะมันเกิดขึ้นมาจากจิต มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นอำนาจวาสนาของจิตดวงนั้น จิตดวงใดก็แล้วแต่ ถ้ามันมีความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดเกิดจากจิต ถ้าเกิดจากจิต คิดสิ่งที่ดีมันก็เป็นบุญของจิตดวงนั้น ถ้าคิดเลวมันก็เป็นบาปอกุศลของจิตดวงนั้น
แล้วเวลาจิตมันทำความสงบใจเข้ามา พอใจสงบแล้วมันใช้ปัญญาพิจารณาในสติปัฏฐาน ๔ มันก็เป็นบุญกุศลของจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นพิจารณาไป เห็นไหม จิตดวงนั้นมันก็ได้รับรู้ มันก็ซึมซับ ซึมซับให้จิตดวงนั้นฉลาดขึ้น พอจิตดวงนั้นฉลาดขึ้นพิจารณาเข้าไปมันก็เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นมรรคของจิตดวงนั้น แต่จิตดวงนั้นมันมีกิเลส มันมีอวิชชา มีความไม่รู้เจือปนมา พอมีความไม่รู้เจือปนมา มันพิจารณาไป มันก็มีความไม่รู้ ความไม่รู้คือการคิดเกินไป การคิดต่ำไป การคิดไม่เท่า นี่ไง มานะ ๙
ถ้ามันคิดเกินไป คิดน้อยไป คิดหย่อนยานไป คิดเข้มข้นเกินไป คำว่าเกินไปๆ เห็นไหม นี่คำว่าเกินไปๆ เนี่ยคือกิเลสมันทำให้บิดเบือน ความบิดเบือนของการใช้ปัญญา ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา เห็นไหม พอใช้ปัญญาไป พอจิตมันใช้ปัญญาด้วยกำลังของสมาธิ ถ้ามีกำลังของสมาธิ มันก็เป็นปัญญาที่รอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาที่รอบรู้ในความเห็นของตน แต่พอสมาธิกำลังมันเบาบางลงมันเป็นสัญญาแล้ว
สัญญาคือความจำเดิม มันเป็นความเคยชิน แต่ไม่มีกำลัง ถ้าเป็นความเคยชินก็ความคิดเรานี่ไง ทุกคนอยากพ้นทุกข์ไหม ทุกคนอยากพ้นกิเลสไหม ทุกคนอยากหมดเลย ทุกคนอยากทำตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกศึกษารู้แนวทางหรือเปล่า รู้ ทำได้หรือเปล่า ไม่ได้ เพราะมันเป็นสัญญาไง พอคิดไปๆ มันก็คิดซ้ำซ้อนอยู่อย่างนั้น ซ้ำซ้อนอยู่อย่างนั้นนะ
นี่ไง จิตใจของคนถ้ามันสูงส่ง จิตใจของคนถ้ามันสะอาด จิตใจของคนที่มันเป็นนักปราชญ์ ถ้ามันทบทวนแล้วมันจะเห็นความบกพร่องของเรา ถ้ามันเห็นความบกพร่องของเรา เห็นไหม แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านทำมาแล้ว ท่านผ่านอย่างนี้มาทั้งนั้น คนที่ปฏิบัติมามันต้องให้กิเลสมันเสี้ยม ให้กิเลสมันพลิกแพลง จนมันเจ็บปวดเจ็บช้ำอยู่อย่างนั้น แล้วก็พลิกแพลง กว่าจะชนะกิเลสแต่ละชั้นๆ เข้ามา มันมีความละเอียด มีความรอบคอบ มันมีความรอบคอบภายในนะ
รอบคอบๆ ที่ไหน รอบคอบที่นั่งหลับตาอยู่นี่แล้วมันด้วยความละเอียดของเรา ด้วยความคุ้นเคยของเรา ด้วยการแสวงหาของเรา มันเห็นความบกพร่อง ถ้ามันเห็นข้อบกพร่อง เห็นไหม นี่มีการกระทำทั้งนั้น นั่นน่ะ นี่ไง สิ่งที่ว่าปฏิบัติซ้ำ ภาวนาซ้ำ พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า เห็นไหม พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ มันพัฒนาขึ้นไป พัฒนาขึ้นไปตั้งแต่เห็นความบกพร่อง ถ้าพิจารณาตามความเป็นจริง
ตทังคปหาน การประหารกิเลสชั่วคราวๆ มันมหัศจรรย์นะ การปล่อยวางเป็นครั้งเป็นคราว แต่การปล่อยวางเป็นครั้งเป็นคราว เขาเรียกตทังคปหาน ในการประพฤติปฏิบัติ ในการศึกษาของเรา สัพเพ ธัมมา อนัตตา นี่ใช่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเด็ดขาดเลย สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายต้องเป็นอนัตตา ในการกระทำของเราขอให้มันเห็นจริงเถิด
ถ้าเห็นจริงขึ้นมาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลามันขาดนะ มันจะเป็นอนัตตาไปได้อย่างไร มันอกุปปธรรม เวลาสิ้นสุดกระบวนการของมัน มันจบ สิ้นสุดกระบวนการของมันเหลืออะไร สิ้นสุดกระบวนการของมัน เห็นไหม เวลาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลามันปล่อย ปล่อยชั่วคราวๆ คำว่าชั่วคราวคือมีความสงสัยอยู่ในก้นบึ้งของใจ จะปล่อยวางขนาดไหนก็สงสัย จะปล่อยวางขนาดไหนก็ไม่จบ มันเอ๊ะ! เอ๊ะ! อยู่อย่างนั้น ถ้าพิจารณาไปแล้วมันปล่อยวาง สดชื่นแจ่มใส แต่ แต่ลึกๆ แล้วมันฮื้อๆ อยู่น่ะ พิจารณาซ้ำไปๆ พิจารณาแล้ว พิจารณาซ้ำไป พอมันพิจารณาไปแล้ว มันใช้กำลังไปแล้ว ก็ต้องกลับมาทำความสงบ กลับมาทำเพื่อให้มันสดชื่นแจ่มใสขึ้นมา
พอสดชื่นแจ่มใสขึ้นมาแล้วปล่อยปั๊บ ไปแล้ว ปล่อยปั๊บไปหมายความว่าถ้าใครเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงแล้วฝึกหัดแล้ว แนวทาง เห็นไหม นี่แนวทาง จิตที่มันเคยทำ คนเคยทำงาน เห็นไหม งานที่เราเคยทำ งานที่เราทำ เก็บหอมรอมริบเราก็ได้ทำ เราทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนให้เป็นผลกำไรมา เราก็เคยทำ เราเคยทำมาทั้งนั้น ถ้าเราเคยทำไปแล้วแต่มันยังไม่สิ้นสุดกระบวนการของมัน ไม่สิ้นสุดกระบวนการของมัน เราทำซ้ำของเรา เห็นไหม ทำซ้ำ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ นี่ไง ถ้าจิตใจมันสูงส่งมันสูงส่งอย่างนี้
ถ้าจิตใจมันต่ำทราม ต่ำต้อย เห็นไหม มันคิดโดยกิเลสไง เราทำแล้ว จบแล้ว ดีแล้ว ดีอะไร ดีกิเลสขี่หัวอยู่ไง ดีกิเลสมันเหยียบหัวอยู่นั่น ยอมจำนนอยู่กับมัน มันจะดีตรงไหน การประพฤติปฏิบัติขึ้นมาต้องข้ามพ้นมันไป เห็นไหม เวลาทำลายก็ทำลายทั้งดีและชั่ว ความดีๆ ทำปฏิบัตินี่เป็นความดีไหม อดนอนผ่อนอาหารเป็นความดีไหม ยิ่งกว่าความดีอีก แล้วได้อะไรต่อ ดีกับชั่ว ทำดีๆ เดี๋ยวพอมันไม่ได้ดั่งใจมันก็ไปทำชั่ว พอทำชั่วถึงที่สุดแล้วมันไปไม่รอดขึ้นมาแล้วก็จะมาทำดี แล้วทำดี
ถ้ามันเป็นความชั่ว ความชั่ว เห็นไหม ทุกกฎเป็นความชั่ว ถ้าเป็นอาบัติทุกกฎ อาบัติเล็กน้อยมันก็เป็นความชั่วแต่มันยังแก้ไขได้นะ ถ้าถึงที่สุดแล้วตาลยอดด้วนแล้วจบ ตาลยอดด้วนขึ้นไปมันจบโดยข้อเท็จจริง ไม่ต้องเอาวินัยข้อไหนมาเป็นที่ตัด ไม่ต้องเอาสิ่งใดมาเป็นการพิสูจน์ มันยอดด้วนในหัวใจนั่นน่ะ ถ้ามันชั่วขนาดนั้น แล้วมันทำดี เห็นไหม นี่ไง ถ้ามันสูงมันต่ำ มันสูงมันต่ำอยู่ที่หัวใจของเรานะ
เวลาปฏิบัติ เห็นไหม ทางโลกเขามันมีสูงมีต่ำ มาตรวัดของมันมี นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของคน หัวใจของคนถ้ามันดีขึ้นมา มันทำความดีขึ้นไปมันจะสูงส่งขึ้นมา แต่ถ้ากิเลสมันครอบงำขึ้นมาแล้วน้อยเนื้อต่ำใจ ทำสิ่งใดแล้วมันจะเหยียบย่ำให้มันต่ำทรามไปเรื่อยๆ มันคิดของมันไปอย่างนั้น คิดแล้วคิดเล่า ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตเป็นนิสัย แต่คนจะคิดแต่ใฝ่ดีๆ นะ ใฝ่ดีน่ะดีในใจของเรา ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร ไม่ต้องไปคัดแยกกับใคร มันเป็นเรื่องของเราทั้งนั้น
เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน เห็นไหม ใครจะทำดีทำชั่วเรื่องของเขา มันเรื่องของเขานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกชีวิตเราชีวิตเดียว การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะทุกภพทุกชาติ ซากศพของเราเอามากองไว้มากกว่าโลกนี้อีก การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะของเรา ของจิตดวงหนึ่ง แต่ละภพแต่ละชาติ ชาตินี้ก็ศพหนึ่ง ชาติที่แล้วก็ศพหนึ่ง ชาติหนึ่งก็ศพหนึ่ง เห็นไหม เกิดเป็นไก่เป็นกาก็ศพหนึ่งๆ เก็บซับซ้อนไว้มากกว่าโลกนี้ นี่ไง เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมาขนาดนี้ เรายังต้องไปละล้าละลังไปวิตกกังวลกับเรื่องของใคร เรื่องของใครของเขาเราวิตกกังวลไปได้อะไร
แต่ถ้าเป็นจริงๆ มันต้องปฏิบัติตรงนี้ มันต้องหาเวลาของเราไง สัปปายะ ๔ สถานที่เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา นี่ไง ถ้ามันเป็นความจริงมันเป็นความจริงตรงนี้ ถ้ามันเป็นความจริงตรงนี้ มันทำขึ้นมาตรงนี้แล้ว มันทำขึ้นมา ความเป็นไปในสังคม ความเป็นไปในสงฆ์ เบาแล้ว ไม่ติดเราเสียอย่างหนึ่ง คือเราไม่อาฆาตมาดร้าย เราไม่ผูกเจ็บใครทั้งสิ้น เราไม่เก็บเรื่องสิ่งใดมาสะสมในใจ
สิ่งที่มันเกิดขึ้น กรรมของสัตว์นะ มันคงมีเวรมีกรรมต่อกัน มันถึงได้มาพบกัน มันต้องมีเวรมีกรรมต่อกัน ไม่มีเวรมีกรรมต่อกันเรามาพบกันอย่างไร นี่ผลของวัฏฏะๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเหมือนสวะ ดูสิ น้ำท่วม ขยะ ใครก็ทิ้งๆ แล้วมันไปสุมกันอยู่ที่หน้าเขื่อนนั่นน่ะ ขยะของใครบ้าง คนโน้นก็ทิ้ง คนนี้ก็ทิ้ง นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตเราก็อย่างนั้น ภพชาติหนึ่งๆ เหมือนสวะชิ้นหนึ่ง แล้วก็ให้น้ำมันพัดไป แล้วถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาแล้วถ้าจิตใจมันต่ำทรามมันก็จะไปอาฆาตมาดร้าย อาฆาตมาดร้ายขยะ มันก็เป็นภพชาติหนึ่งเหมือนกัน เขาก็ภพชาติหนึ่งเหมือนกัน เราก็ภพชาติหนึ่งเหมือนกัน แล้วมาพบกัน
ถ้าจิตใจของเรามีวุฒิภาวะ ถ้าจิตใจมันมีคุณธรรมหน่อยนะ มันเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องอะไรของเราหรอก มันเรื่องของเขา แล้วทำสิ่งใดน่ะเวรกรรมทั้งนั้น กรรมคือการกระทำ ทำดีทำชั่ว ทำแล้วมีผลทั้งนั้น ทำแล้วมีผลหมด ความลับไม่มีในโลก มันเป็นคนคิด มันเป็นคนทำ มันทำแล้วจะโทษใคร กิเลสมันร้ายอย่างนี้ อยากกระทำ อยากดัง อยากใหญ่ อยากกระทำ ทำเสร็จแล้วจิตเราเป็นผู้รับ กิเลสมันคิดของมัน เพราะกิเลสมันเกิดจากจิต ทำเสร็จแล้วมันก็สบายใจ นอนกระดิกเท้า แต่ภพชาติสิ จิตนี่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กรรมชั่วทำให้เกิดต่ำต้อย ทำให้เกิดเจ็บช้ำน้ำใจ แล้วใครทำ ก็เราทำ เพราะเราไม่รู้เท่าทันกิเลสไง
แต่ถ้าจิตใจสูงส่ง เห็นไหม พระโพธิสัตว์ๆ สละชีวิต สละมาทุกภพทุกชาติ ทำดีทั้งนั้น แต่ แต่ทางโลกมองแล้ว โอ้โฮ ขาดทุน ทำแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย ได้ ได้อำนาจวาสนาบารมี ได้ปัญญา ได้สติปัญญาอันนี้ เราทำนี่มันลงที่ใจหมด นี่ทำดี จิตใจที่สูงทำแต่สิ่งที่ดีงาม ผลของมันทำให้ใจดวงนั้นพร้อมไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดเป็นราชกุมาร ยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ยังไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยอำนาจวาสนาด้วยการสร้างคุณงามความดีมาเต็ม เต็มแล้วจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ฉะนั้น ด้วยเวรด้วยกรรม ถึงจะทำให้ถึงที่สุดแล้วเจ้าชายสิทธัตถะต้องได้ออกบวช ออกไปค้นคว้าอีก ๖ ปี จนถึงที่สุดแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ด้วยความชอบธรรมด้วยมรรคด้วยผลในหัวใจนั้น
แต่ในลัทธิศาสนาต่างๆ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่มากมาย เขาก็ปฏิญาณตนว่าเป็นศาสดาทั้งนั้น แต่ไม่ชอบ ไม่ชอบคือมันไม่จริง เพราะไม่ชอบมันถึงไม่สิ้นภพสิ้นชาติ เพราะไม่ชอบมันถึงไม่ได้ล้างกิเลสตามความเป็นจริง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ด้วยความชอบธรรมไง
ถ้าเป็นสมาธิ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นสมาธิก็ให้เป็นสมาธิโดยชอบ ถ้าเป็นปัญญาก็ให้เป็นปัญญาโดยชอบ แต่ แต่ในการก้าวเดิน การประพฤติปฏิบัติมันมีกิเลสเข้ามาเสี้ยม มีกิเลสเข้ามาคอยปลุกปั่นให้เราผิดพลาด การผิดพลาดเราต้องมีสติปัญญาแก้ไขดัดแปลง แล้วพยายามพัฒนา การปฏิบัติคือต้องพัฒนา การกระทำพัฒนาทำซ้ำๆ พัฒนาให้มันดีขึ้น พัฒนาให้มันชัดเจนขึ้น พัฒนาขึ้น เวลามันสมุจเฉทปหาน เห็นไหม มรรคสามัคคี ความสมดุล มรรค ๘ มันสมดุลพอดีของมัน ความสมดุลอันนั้นนี่มรรคสามัคคี นี่ไงมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางมันสายกลางอย่างนี้ สายกลางจากการมุมานะบากบั่น ทำแล้วมันสมดุลพอดีนั่นคือสายกลาง คือความพอดี
แต่ถ้าไม่พอดีก็ไม่ชอบธรรมไง ปฏิบัติโดยไม่ชอบไง มันไม่ชอบธรรมมันก็ไม่เกิดเป็นความจริงไง ถ้ามันชอบธรรมขึ้นมามันจะเป็นความจริงขึ้นกลางหัวใจนี้ไง ถ้ากลางหัวใจนี้ ปฏิบัติอย่างนี้เพื่อประโยชน์กับเรา เห็นไหม เราเป็นนักรบนะ รบกับกิเลส รบกับความทุกข์ความยาก หากิเลสให้เจอแล้วรบกับมัน รบกับมันด้วยความมุมานะของเรา เป็นประโยชน์กับเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง